26/5/53

เที่ยวเมืองแห่งขุนเขากับอ่าวมังกรตกน้ำ..เวียดนามเหนือ..

เที่ยวละไมไปเวียดนามเหนือ 5 วัน 4 คืน
งานนี้เช็คข้อมูลแบบเร่งด่วน..สายตรงหาคุณ หง่า ทัวร์ เวียดนาม ที่ใครๆ ในหน้าเน็ตแนะนำ...
หาข้อมูลทั้งสภาพอากาศและสถานที่ท่องเที่ยว..จากกระทู้ล้วนๆ...
เดินทางจากเมืองไทยแต่เช้าตรู่ใช้เวลา ประมาณ 2 ชม.บนเครื่องบิน..และแล้วเครื่องก้อแล่นลงจอดจนได้ยังไม่ทันจะได้ซักงีบเลย...
การท่องเที่ยวของเราส่วนใหญ่จองเกือบทุกอย่างจากเมืองไทย(ใครๆในกระทู้ เขาแนะนำ หากไปถึงโน่นแล้วค่อยต่อรองตามมีตามเกิดท่านจะเสียทั้งเงินทั้งเวลา และที่สำคัญอาจถูกหลอกได้โดยง่าย) คิดว่าจะไม่โดน..ก้อโดนจนได้ ใครจะไปคาดคิด..หนึ่งในเดอะแก๊งค์ที่ตามหลังกันอีกหนึ่งวันถัดมา เจอดีจนได้ นี่ขนาดสาวเจ้าคนนี้ภาษางี้ปร๋อออออ..(แล้วถ้าเป็นเราล่ะก้อแย่แน่นอน) เรื่องมันมีอยู่ว่า เธอและครอบครัวมีความจำเป็นต้องเลื่อนเที่ยวบินออกไปอีกหนึ่งวัน ดังนั้นเมื่อไปถึงสนามบินเธอคิดว่าการเช่ารถจากสนามบินไปส่งที่พักซึ่งจองไว้เรียบร้อยน่าจะปลอดภัย เธอเรียกแท็กซี่หนึ่งคันให้ไปส่งตามที่อยู่ ในเอกสาร Booking Online จากเมืองไทย คนขับรถพาไปถึงหน้า โรงแรมแห่งหนึ่งในฮานอย มีพนักงานต้อนรับออกมาชี้แจงกับเธอว่าห้องที่เธอจองไว้นั้นตอนนี้ไม่ว่างทางโรงแรมต้องขออภัยแต่จะจัดที่พักให้เธอใหม่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย..ว่าแล้วก้อให้แท็กซี่คันเดิมพาเธอไปส่งที่โรงแรมใหม่ในทันที เมื่อไปถึงพนักงานต้อนรับก้อพาเธอไปยังห้องพัก จากนั้นเธอลงมาเดินเล่นตามอัธยาศัย มีบริษัททัวร์มากมายมารุมทึ้งให้เธอซื้อทัวร์ เธอไม่ตกลงกับใครทั้งสิ้นขอคิดดูก่อน..เป็นโชคดีของเธอที่ออกมาเดินเล่นในชมเมือง สายตาของเธอเหลือบไปเห็นโรงแรมชื่อคุ้นๆ จึงหยิบเอกสาร booking ขึ้นมาดู เอะ!! นี่มันชื่อเดียวกันนี่นา คิดได้ดังนั้น เธอก้อตรงเข้าไปถามทันที และเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ฟัง พนักงานตอบทันทีว่า “คุณถูกหลอกแล้ว” คำถามเกิดขึ้นทันทีว่า เขาจะได้อะไรในเมื่อ เขาไม่คิดเงินเพิ่ม พนักงานตอบว่า ถ้าคุณซื้อทัวร์ของพวกเขา ราคาจะถูกรวมอยู่ในนั้นเรียบร้อย แต่ ถ้าไม่ซื้อ พรุ่งนี้เช้าจะมีค่าใช้จ่ายอีกมากมายที่คุณจำเป็นต้องยอมรับ...และพนักงานใจดีผู้ในก้อส่งคนพาเธอไปนำสัมภาระ กลับมาท่ามกลางความไม่พอใจของ โรงแรมที่แอบอ้าง...ขอแนะนำเพื่อนๆ ที่กำลังอยากไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง ว่า หากจองโรงแรมที่พักไว้แล้ว ควรให้รถจากโรงแรมมารับดีกว่าปลอดภัยกว่า..





..มีเวลาเที่ยวที่ฮานอยเล็กน้อย..เพราะจุดประสงค์หลักอยากไป ซาปา ที่เขาเรียกกันว่าเมืองแห่งขุนเขา..


หลังจากท่องเที่ยวในฮานอย หาอาหารการกิน ดูความเป็นอยู่วิถีชีวิตของชาวเวียดนามในฮานอย ฆ่าเวลา..เพื่อรอขึ้นรถไปตู้นอนไปซาปา..ใช้เวลาอยู่บนรถไฟประมาณ 8 ชม. เราก้อไปถึงซาปาในตอนเช้า..อากาศดีมาก..หมอกหนา..ปกคลุมภูเขา..




































ใช้เวลาเที่ยวซาปาสองวันพอตกกลางคืนเราก้อนั่งรถไปกลับมายังฮานอย..จุดหมายคือ "อ่าวมังกรตกน้ำ" ฮาลองเบย์..
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเที่ยวเวียดนาม นั่นก็คือการได้มาเที่ยวล่องเรือชมบรรยากาศแห่งอ่าวฮาลอง ซึ่งอาวฮาลองแห่งนี้ได้รับการจัดให้เป็นแห่งท่องเที่ยวเที่ยวทางธรรมชาติ และยังได้รับให้จัดเป็นมรดกโลกอีกด้วย
ามนิทานปรัมปราของชาวเวียตนามเขาเล่ากันถึงที่มาของอ่าวมังกรตกน้ำว่า..มังกรโบราณเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง
ลักษณะทั่วไปของอ่าวฮาลอง คล้ายๆกับ อ่าวพังงา บ้านเรา..

ล่องเรือชมความงานของฮาลองเบย์นอกจากได้ชมความงามของทิวทัศน์แล้วยังได้ ขึ้นไปชมถ้ำอีกด้วย คือ ถ้ำเด่าโก๋ (Dao Go) หรือที่เรียกกันว่า "ถ้ำสวรรค์" ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยตระการตา โดยในถ้ำแห่งนี้มีห้องโถงใหญ่รอรับคนเดินทางอยู่ด้วยกัน 3 ห้อง
สวยงามซะ..








กลับไปเฮอาหน้าบ้านเดอะแก๊งค์.....



บินลัดฟ้าไปบาหลี

เป็นประสบการณ์และข้อมูลรวบรวมมาจากหลายเว็บตอนที่จะไปเที่ยวบาหลีกันค่ะ เลยเก็บมาฝากกัน เผื่อว่ามีกำลังอยู่ในช่วงเวลานั้น ที่เราผ่านมาแล้ววววว...

ข้อมูลทั่วไป
เที่ยวบาหลี สวรรค์บนดิน
"เกาะบาหลี ได้รับการขนานนามว่า อัญมณีแห่งมหาสมุทรอินเดีย" อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะชวา บาหลีเป็นเกาะเล็กๆ ที่มีความยาวจากหัวเกาะถึงท้ายเกาะประมาณ 150 กิโลเมตร อยู่ติดกับเกาะชวา มีประชากรประมาณ 3 ล้านคน บาหลีได้ฉายาว่า เกาะมรกต เพราะมีต้นไม้เขียวขจีไปทั้งเกาะ เนื่องจากได้รับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมไว้ดีเยี่ยม มีกฏหมายไม่ให้ปลูกสิ่งก่อสร้าง ที่เป็นสิ่งแปลกปลอมจากธรรมชาติ โดยอาคารที่สร้างจะสูงกว่า 15 เมตรไม่ได้ บาหลี เป็นตัวอย่างของแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการดูแลรักษาเอาไว้ให้คงอยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด ธรรมชาติที่บริสุทธิ์เป็นเสน่ห์ของบาหลี ที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากไปชมกัน

ที่ตั้งและอาณาเขตของบาหลี
บาหลีอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะชวา บาหลีเป็นเกาะเล็กๆ ที่มีความยาวจากหัวเกาะถึงท้ายเกาะประมาณ 150 กิโลเมตร อยู่ติดกับเกาะชวา มีพื้นที่ 5,634.40 ตารางกิโลเมตร ระยะ เหนือ - ใต้ ยาว 90 กม. ; ตะวันออก - ตก ยาว 150 กม., มี ชายหาดรวม? 529 กิโลเมตร ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้ง(Latitude) 8 องศา 03'40" -? 8 องศา 50'48" ใต้ ระหว่างเส้นแวง(Longitude) 114 องศา 25'53" ? 115 องศา 42'40" ตะวันออก


ทริปนี้ 4 วัน 3 คืน..แบบเซอร์ๆๆๆตามสไตล์ "เดอะแก๊งค์"
วันแรก เราไปถึงสนามบิน งูระไรย์ประมาณเที่ยง..โดยจองรถไว้ล่วงหน้าจากเว็บ พร้อมคนขับ ซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แต่พอจะสื่อสารกันรู้เรื่องเพราะเราก้อ งูๆปลาๆ แต่น่ารักมากๆ ขาออกจากสนามบินเราต้องจ่ายค่าจอดรถให้แท็กซี่ แต่เราไม่มีตังค์อ่ะ เลยต้องอาศัยให้ คนขับรถผู้น่ารักจ่ายให้ก่อน..จากนั้นก้อพาเราไปแลกเงิน ซึ่งประมาณ 9300 รูเปี๊ยะ ต่อ $ ในกรณีที่แลกด้วยแบงค์ร้อยนะคะ..ถ้าแลกด้วยเศษเงินก้อ ลดลงนิดหน่อย..จากนั้นพาสาวๆไปส่งที่พัก และรอ... เรามีเวลาอีกประมาณ3 ชั่วโมงที่จะท่องเที่ยวในวันแรก..จึงให้คนขับรถแนะนำ
แต่ที่แน่ๆ ตอ้งหาอะไรรองท้องก่อน เพราะยังไม่ได้ทานอะไรเลย กุ๊บกิ๊บนิดหน่อยตอนรอขึ้นเครื่องเอง ว่าแล้วก้อบอก ไกด์กิติมศักดิ์เลยทีเดียว..ขอ local food and local cost พ่อหนุ่มใจดีรีบพาไปแวะร้านข้าวแกงข้างทางเลยเชียวววว..ซึ่งก้อดูมีคนทานเยอะนะ ทั้งฝรั่งทั้งคนพื้นเมือง แล้วเราก้อไปสงสัยกระดานดำในร้าน เป็นเส้นขีดยึกยัก เหมือนลายเซ็นต์ดารา หรือไม่ก้อ ภาษาชวเลข เราก้อเลย คิดกันไปว่า ร้านนี้ดาราและคนดังๆ ต้องมากินเยอะแยะแน่ๆ แล้วก้อร่วมกันเซ็นต์ชื่อไว้ (เหมือนเมืองไทยที่ชอบเอารูปพร้อมลายเซ็นต์คนดังมาติดที่หน้าร้านเพื่อเรียกลูกค้า) ...สรูปว่า..มันคือ “เมนู” แป่ววววววว????
จากนั้นพอหนังท้องตึง (แต่หนังตาเราไม่หย่อนนะ) เราก้อรีบหาที่เที่ยวกันเลยทีเดียว เริ่มจาก
แวะเที่ยวที่สวนพระวิษณุน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ชม. จากนั้นเราสามารถไปแวะเดิเล่นชายหาด จิมบาราน หรือ ไปที่ วัดอูลูวาตู เพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรทานตามชายหาด ที่มีบริการอาหารเย็นแบบซีฟู้ดสไตล์บาหลีที่ริมชายหาดรูปครึ่งเสี้ยวพระจันทร์ ก้อได้..
แต่ทริปของเราเลือกไปหาดก่อนเพื่อดูบรรยากาศ และตามด้วย ไปดูพระอาทิตย์ตกอันสุดแสนโรแมนติก (แต่เสียดายจัง ไม่มีหวานใจไปด้วยอ่ะ) ที่นี่ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ก้อลิงนับพันจะมาร่วมชมพระอาทิตย์กับเราด้วย โดย จะฉกทุกสิ่งอย่างที่เกินจากร่างกายทันทีที่เราเผลอ หรือบางตัวก้อ หน้าด้านแย่งซึ่งๆ หน้า อันนี้น่ากลัวสุด เช่นสาวสวยท่านใดที่มีกิ๊บติดผมแสนสวย มันจะกระโดดไปขี่คอและพยายามยีหัวท่านและดึงกิ๊บแสนสวยนั้นมาเป็นของตัวทันที
กลับจากดูพระอาทิตย์ตก เราก้อแวะช๊อปปิ้ง ที่คาร์ฟูร์เพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็น (มีเหมือนบ้านเราเลย) จากนั้นกลับที่พัก ย่านกูต้า (ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีของบาหลี เทียบได้กับพัทยาบ้านเรา)





วันที่สอง เราไปพักที่ อูบุด เมืองนี้ ออกแนวชนบท มีตลาดขายของฝาก ส่วนใหญ่เป็นสินค้าหัตถกรรม แต่เรายังไม่เดิน แต่ไปเช็คอินที่พักก่อน จากนั้นก้อออกเดินทางไปเที่ยวกันต่อ..
ที่แรก เราไปที่ ปุราทามันอายุน หรือ วัดเมงวี ซึ่งเป็นวัดที่เคยเป็นพระราชวังเก่า สร้างตอนศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์ราชวงศ์เม็งวี กำแพง ประตูวัด ก่อด้วยหินสูง แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง หลังคาปูด้วยหญ้า สิ่งก่อสร้างด้านใน ตกแต่งลวดลายงดงามตามแบบบาหลี มีสระน้ำล้อมรอบ ถ่ายรูปหนำใจก้อเดินทางต่อ ไปทะเลสาปบราตัน ระหว่างทาง เราเห็นทิวทัศน์สองข้างทาง มีทั้งภูเขา ทั้งหุบเหว ที่นี่จึงทำนาแบบขั้นบันได แต่ด้วยเหตุนี้ ทุ่งนาธรรมดาจึงกลายสิ่งที่ขึ้นชื่ออีกของที่นี่ไปโดยมิได้ตั้งใจ เมื่อเดินทางมาถึงทะเลสาปบราตัน ไอน้ำ ที่เหมือนม่านหมอก ที่ลอยจากทะเลสาปไปจรดเมฆ เริ่มบดบังทิวเขา เพิ่มความงดงาม ที่นี่เอง มีวัดกลางทะเลสาป คือ วัดอูลันดานูบราตัน ชึ่งสวยงามมาก มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟสูงทะมึน วัดนี้สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ทำพิธีทางศาสนาพุทธและฮินดู รวมทั้งอุทิศแด่เทวี ดานู เทพแห่งสายน้ำ มีความสวยงามเป็นอันสองของเกาะบาหลี มักปรากฏอยู่ในภาพถ่ายโมษณาการท่องเที่ยวของบาหลีเสมอขากลับจากดูภูเขาไฟ จะมุ่งหน้าไปยัง ปุราทานาห์ลอต ซึ่งเป็นวัดสำคัญ 1 ใน 5 ของเกาะบาหลี สร้างบนโขดหินคล้ายเกาะเล็ก ๆ เวลาน้ำขึ้น จึงดูเหมือนวัดอยู่กลางทะเล เวลาน้ำลง ผู้คนสามารถเดินข้ามทางเดินไปยังตัววัดได้ เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวบาหลีให้ความเคารพบูชาอย่างมาก มีทิวทัศน์และบรรยากาศที่สวยงาม เป็นอีกแห่ง ที่มีคนนิยมไปดูพระอาทิตย์ตกกันอย่างเนืองแน่น
กลับมาถึงที่พัก ค่ำๆ คืนนี้เรามีนัดดูระบำบารองแดนซ์ อันเลื่องลือ..มีบริการอาหารเย็นแบบสไตล์บาหลีที่ภัตตาคาร พร้อมชม นการแสดงที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวเพราะมีการจัดให้ชมเป็นประจำ เรื่องราวจะเกี่ยวการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายดีและปีศาจ แสงสีเสียงอลังการ

วันที่สาม โปรแกรมของเราพลาดไม่ได้เลยกับวัดที่ดูแล้วเหมือนสวรรค์ นี่คือ ปุราเบซากิห์ (Pura Besakih ) หรือ วัดเบซากีห์ ป็นวัดที่มีความสวยงามที่สุดและสำคัญที่สุดบนเกาะบาหลี มีฉากหลังคือ ภูเขาไฟกุนุงอากุง ภูเขาไฟที่สูงที่สุดในบาหลี คนบาหลียกให้วัดนี้เป็น วัดหลวง (Mother Temple) เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของบาหลีและยังถือเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดกว่าทุกวัด มีบริเวณกว้างใหญ่มาก ภายในมีวัดเล็กๆ อีก 23 วัด ที่เรียงรายไปตามไหล่เขาอยู่เป็นชั้นๆกว่า 7 ชั้น ชม ปุราเปนาทารัน อากุง (Pura Penataraa Aguan) หรือ วัดเปนาทารัน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางวัด ทุกๆวันจะมีคนบาหลีเดินทางมาประกอบพิธีทางศาสนา ท่านสามารถเห็นธรรมเนียมประเพณีและการแต่งกายแบบพื้นเมืองทั้งชายและหญิง รวมทั้งการแบกทูนของบูชาบนศีรษะตามแบบดั้งเดิมด้วย แต่สิ่งที่ควรระวังของที่นี่คือ บรรดาไกด์ที่มีมากมายจนแทบจะอุ้มท่านขึ้นไป มีทั้งสุภาพและกักขระ ถ้าท่าไม่ยอมใช้บริการพวกเขา ที่นี่เลื่องลือด้านความงามและน้ำใสใจจริงของคนพื้นเมืองก้อจริง แต่ ที่วัดนี้เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนตำหนิ บาหลีเช่นกัน รวมถึงทริปของเราด้วย หญิงแกร่งหนึ่งในแก๊งค์เกือบจะมีเรื่องกับไกด์เหล่านั้นเชียวล่ะ..


หลังจากหงุดหงิดกันมาพอสมควรจึงคิดว่าจะเปลี่ยนสถานที่ดีกว่า และภูเขาไฟ คินตามณี อันลือชื่อคือจุดหมายอันดับถัดไป ที่มีอาหารบุฟเฟ่ ไว้บริการ ทานไปชมความงามของภูเขาไฟไป..สิ่งที่น่ารำคาญของที่นี่คือ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย ที่รุมทึ้งเรา เพื่อให้ซื้อของจากพวกเขา ท่านใดชอบช็อปก้อต่อเลย เอาแบบเกินครึ่งเลยนะจะบอกให้..
ชื่นชมทิวทัศน์กันมาพอสมควร ไปดูสถาปัตยกรรมบ้างดีกว่า..วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ คือที่ต่อไป เชื่อกันว่าพระอินทร์เป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดน้ำพุ ชาวบาหลีนิยมมาอาบน้ำที่บ่อน้ำพุ จะเป็นสิริมงคลและขับไล่สิ่งเลวร้าย ทั้งยังรักษาโรคต่างๆได้ด้วยและเป็นวัดที่เคารพสักการะของชาวบาหลี
ระหว่างทางท่องเที่ยวของเรา จะเห็น เด็กนักเรียนเดินทางกลับบ้านในเวลาประมาณ 11 โมงเช้า ชาวบ้านที่แบกของบนศรีษะเพื่อเดินทางมาประกอบพิธีทางศาสนาตลอดทั้งวัน งง สิคะ..ก้อบ้านเราไปโรงเรียนกันตอนเช้า กลับตอนเย็น ไปวัดตอนเช้า...ถามชายหนุ่มของเราได้ความว่าที่นี่เรียนกันสี่ชั่วโมงเท่านั้น พอบอกว่าเมืองไทยเรียนกันทั้งวัน แถมด้วยเรียนพิเศษอีกมากมาย พ่อหนุ่มบาหลีร้องจ๊ากกกกก อะไรจะขนาดนั้น....
ส่วนเรื่องไปวัดน่ะไม่แปลกเพราะวัดที่นี่ไม่มีพระ ไปทำพิธีกันเอาเอง กับเทพเจ้าซึ่งสถิตอยู่ (เหมือนศาลพระภูมิบ้านเรา) เพราะฉะนั้น สะดวกเมือไหร่ก้อไปเมื่อนั้น เราจึงเห็นเดินกันทั้งวัน
วันนี้ก้อเกือบหมดวันแล้ว..ต้องรีบกลับไปเพื่อเดินตลาดอูบุด ซื้อของฝากเพื่อพ้องน้องพี่ที่เมืองไทย..เลือกกันซะหนำใจต่อราคากันเพลินเชียว (แบบว่าซื้อเสื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าของพ่อหนุ่มบาหลีเจ้าถิ่นอีกอ่ะ..ก้อร้องโอ้โห อีกตามเคย ทึ่งแม่สาวๆ จากเมืองไทย ทำได้งัยเนี่ยย)
กลับที่พักไวกว่าทุกๆ วันเพราะเบื่อดูพระอาทิตย์ตกแล้ว (คือดูกะเพื่อนมาสองวันแร่ะ ไม่มีอะไรโรแมนติก) ที่นี่มีสระว่ายน้ำ ให้สาวๆ อวดโฉม ในชุดบิกินี่ด้วยนะคะ นอนกันเป็นปลาพยูนเกยตื้นกันเชียวล่ะ(สงวนรูปไว้เกรงใจประชาชี) เหนื่อยมากสำหรับวันนี้ แต่ก้ออดจะออกไปเดินเล่นไม่ได้ เดินไปมา เจอ นวด ล่ะทีนี้ไม่มีพลาด นวดแบบบาหลีนี่สบายจริงๆ ค่ะขอบอก..คืนนี้นอนหลับฝันดีแน่นอน
เช้าวันนี้เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านแล้วสิ..หนุ่มบาหลีมารอรับแต่เช้า (เมื่อไรพวกแกจะกลับกันสักที..หรือเปล่าไม่รู้) ร่ำลาแลก email address กันเรียบร้อย..ก้อจากกันด้วยรอยยิ้มค่ะ เดินทางกลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ..มาถึงคำแรกที่พูด “แม่ขอน้ำพริกกะปิ ไข่เจียว ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ชุดใหญ่จะไปถึงภายในสองชั่วโมง” จากนั้นก้อว่าสายด้วยน้ำลายเต็มปาก...คิดถึงอาหารไทยจังงงงง


กลับไปเฮอาหน้าบ้านเดอะแก๊งค์.....