17/3/54

ชะโงกทัวร์ โหด มันส์ ฮา ที่ซาปา-ฮานอย

ชะโงกทัวร์ โหด มันส์ ฮา ที่ซาปา-ฮานอย งง???? ก่อนอื่นขออธิบายศัพท์แสลง ชะโงกทัวร์ก่อนนะคะ ที่มาที่ไปคือ เรามีเวลาน้อยมากสำหรับทัวร์ครั้งนี้ ทั้งสภาพอากาศก็ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรนัก ดังนั้นเพื่อให้ได้ปริมาณสถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงเพียงแค่เข้าไปเดินชม ถ่ายรูป ไม่ได้เจาะลึกเบื้องหลังเท่าใดนัก จึงเรียกว่า ชะโงกทัวร์ แต่มีบางที่แค่เพียบชำเลืองทัวร์ 55555

ขออภัยท่านอาจารย์ภาษาไทยทั้งหลาย รวม

ถึง ท่าน บก.ด้วยนะคะ ที่ใช่ศัพท์เหล่านี้ในการเขียนเรื่อง (แบบว่า อุปมาอุปมัยให้เห็นภาพน่ะค่ะ)

ทริปนี้บินแบบประหยัดสุดๆ กับแอร์เอเชีย นางฟ้าประจำเครื่องปีกแดง แจ้งสภาพดินฟ้าอากาศ ที่ Tgang กลัวที่สุด(คือความหนาว) ให้ทราบว่า 15 องศาค่ะ แย่แล้ว..แต่เพื่อนร่วมทางก็ปลอบใจกันไปว่าสภาพอากาศที่นั่นแปรปรวนอยู่เสมอ บางทีลงเครื่องไปอาจจะร้อนตับแตกก็ได้.. ปรากฏว่าอากาศแปรปรวนจริงๆค่ะ แต่ไม่ใช่ ร้อน ปรากฏว่า ทั้งหนาว ทั้งฝนตก..เฮ่อ ความโหด ของการเดินทางทริปนี้จึงเริ่มขึ้น..


ช่วงระหว่างการเดินทาง T.GAng เล่าถึงเหตุการณ์ในเอ็นทรีก่อนให้เพื่อนร่วมทางฟังถึงการโดน แท็กซี่ชาวเวียดนามหลอก พาไปเช็คอินโรงแรมที่เราไม่ได้จองไว้ เพื่อชาร์ท ค่า ทัวร์ แต่พวกเราแก้ปัญหาโดยการให้ทางโรงแรมส่งแท็กซี่มารับ..ปรากฏว่าพอไปถึงหน้าโรงแรม..ไม่ใช่ ชื่อโรงแรมที่เราจองไว้ เรื่องราวที่เพิ่งเล่าจบไปไม่ทันถึงนาทีก็ผลุดขึ้น..นี่ฉันโดนด้วยหรือนี่..ทั้งแก๊งค์มองหน้ากันไปมา เอายังไงดีล่ะ..ตัดสินใจโทรหา เอเย่นที่รับจอง ปรากฏว่าเขามารับเราด้วยตัวเอง อยู่ที่หน้าโรงแรมดังกล่าว แล้วแจ้งเราให้ทราบว่า เป็นโรงแรมในเครือเดียวกัน และแจกนามบัตรให้เราเพื่อความสบายใจ..(แต่เราก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี) อีกทั้งต่อมาพนักงานโรงแรมขอพาสปอร์ตเพื่อกรอกข้อมูลและยังไม่มีทีท่าว่าจะกรอกเสร็จ บอกให้เราไปเดินเที่ยวกันก่อนกลับมาค่อยคืนพาสปอร์ต..ยิ่งกังวลไปกันใหญ่เลย แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ นำสัมพาระขึ้นไปเก็บยังห้องพักและออกเดินชมบรรยากาศฮานอย ท่ามกลางสายฝนปรอยๆ บางๆ ..โชคดีที่เราไม่ได้ถูกหลอก เป็นแค่ความบังเอิญ ที่เรื่องราวที่เพิ่งเล่าจบ และกิติศัพท์อันเลื่องลือในด้านนี้ ทำให้เรากังวลมาก แต่โรงแรมนั้นเป็นในเครือเดียวกันจริงๆ ..เฮ่อ รอดตัวไป...

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราจึงเริ่มจากเดินหาอาหารแนะนำ(ซึ่งผ่านการรีวิวมาเป็นอย่างดีจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ของเราเอง) ไปกินบุ๋นฉ่า (Bun Cha) ซึ่งชื่อร้านอ่านไม่ออก (ไม่มีภาษาอังกฤษอ่ะค่ะ แต่เดี๋ยวดูรูปหน้าร้านนะคะ confirm อร่อย ) ซึ่งพออาหารมาเสริฟเราตกใจกันมาก คนเวียดนามกินกันเยอะขนาดนี้เชียวหรือ เต็มโต๊ะไปหมดเลย..ซึ่งประกอบด้วย เส้นขนมจีนจานใหญ่ๆ สองจาน น้ำซุป ที่มีทั้งหมูชิ้นลักษณะคล้ายๆ เบค่อนย่าง หมูสับบดย่างลอยหน้า ด้านล่างเป็นมะละกอดอง เครื่องปรุงมีเพียง พริกซอยกับกระเทียบสับ ผักสนจานใหญ่ๆ มะละกอดอง น่าจะใช้เป็นรีฟิว สำหรับเติมในถ้วยน้ำซุป นอกจากนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอาหารชุดของเวียดนามคือ ปอเปี๊ยะ มื้อนี้หมดไปเป็นแสน (ดอง อ่ะ ฟังดูเศรษฐีเชียว อิอิอิ) แต่อร่อยสมคำร่ำลือ จากนั้นก็เริ่มเดินชมเมือง และเดินหาทริปท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้ซึ่งเรามีกำหนดการจะเดินทางไปซาปาในตอนค่ำ ดังนั้น ช่วงกลางวันต้องหาทริปที่เหมาะสม..

เมื่อเสร็จภาระกิจในการกิน ก็เริ่มเดินชมความวุ่นวาย เอ้ยย ความงามรอบๆทะเลสาปของเมืองฮานอย ทะเลสาบคืนดาบ ซึ่งที่นี่มี วัดเนินหยก ก่อนอื่นเราแวะจองตั๋วการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ซึ่งแสดงถึงเรื่องราววิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวเวียดนามและคติคำสอนที่แฝงอยู่ในการแสดง จากนั้นค่อยเริ่มเดินถ่ายรูปสะพานแดงอันเป็นสัญลักษณ์ว่า มาถึงฮานอยแล้วนะ

ฮานอยเป็นเมืองที่มีการจราจรที่วุ่ยวายมาก แต่ก็แปลก ไม่เคยเห็นว่ามีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้นเลย เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสียงแตรดังมาก..(จน T.Gang คุยกับเพื่อนว่าสงสัยเวลาต่อทะเบียนรถถ้ารถคันไหนแตรไม่ดังต้องตรวจสภาพไม่ผ่านแน่ๆเลย5555++) มีทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์และจักรยานที่มีของเต็มท้าย ที่ยอดเยี่ยมจนน่าชื่นชมคือสามารถสั่งของได้เต็มท้ายจักรยานทั้งในแนวสูงและแนวราบ บางคนขนท่อที่ยาวประมาณ3 เมตร ได้ด้วยรถจักรยานที่ไม่มีคนซ้อน ขี่เอง แบกเอง

หลังจากเข้าไปถ่ายรูปที่วันเนินหยกจนหนำใจ เราก็หากาแฟดื่มสักหน่อย เจ้าแม่อาหารเราก็เสนอร้านมาเลยทีเดียว เพราะเธอได้จดไว้ในรายการสถานที่ต้องไปเรียบร้อย..ตามด้วยไปดูหุ่นกระบอกน้ำ ซึ่งเป็นการแสดงที่น่าดูมากทีเดียว แม้จะไม่อลังการ เท่าการแสดงหุ่นบ้านเรา แต่เห็นได้ถึงความพยายามมากมาย เพราะคนที่เชิดหุ่นต้องยืนอยู่ในน้ำตลอดการแสดงและไม่ทราบว่าบังคับหุ่นด้วยวิธีใด เพราะมองดูแล้วยากมากเนื่องจากคนเชิดยืนอยู่หลังม่านและยื่นเพียงไม้ไผ่ออกมาบังคับหุ่นเท่านั้น...

จบจากชมการแสดงที่ประทับใจมาก(แต่มีแอบหลับนิดหน่อย อิอิอิ) ก็เดินชมเมืองบริเวณใกล้เคียงรวมถึงเลยไปส่งโปสการ์ดที่ไปรษณีย์ จากนั้นก็เรียกแท็กซี่ไป วิหารวรรณกรรมวันเหมียว หรือ ที่เรียกกันว่า วัดจอหงวน ก็เดินชมภายในพร้อมถ่ายรูป..”ชะโงกทัวร์ เช่นเดิม” คือใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ที่นี่ แม่ค้าพ่อค้าดูหน้าแล้วก็พูดไทยใส่เราซะงั้น..3 ตัวร้อย...เสื้อ..หลังจากนั้นก็เริ่มเดินตามแผนที่ ไปรอบๆ เมืองฮานอย..ตกเย็นเริ่มหิวอีกครั้ง ถามพนักงานที่รร.ได้ความว่า มีร้านอร่อยให้เดินหาอีกแล้ว...แผนที่ 1 แผ่น เดินหาร้าน... เดินหลงไปมาเล็กน้อยตามระเบียบจากนั้นก็มาเจอร้านอยู่ตรงหัวมุมถนน คนเยอะมาก อาหารก็หลากหลาย เราก็สั่งกันตามวิธีของเรา คือ ชี้เอาแบบโต๊ะข้างๆ..มองเห็นอะไรน่าสนใจก็ชี้ เมื่ออิ่มก็ต้องย่อย ด้วยการช็อปปิ้ง Night Market ซึ่งเป็นตลาดนัดของคนฮานอย คล้ายๆ กับตลาดนัดบ้านเรานั่นเอง..จบวันแรกด้วยความเหนื่อยอ่อน นอนหลับสบาย...

วันที่สอง หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่ โรงแรม ก็เตรียมตัวลุย เก็บสถานที่สำคัญที่เหลือ คือ จัตุรัสบาดิ่งห์ สุสานโฮจิมินห์ เนื่องจากเมื่อวานสถานที่ดังกล่าวไม่เปิดให้ชม เราจึงเลือกที่จะไปเป็นที่แรก ไกด์นำเราไปชมสุสานลุงโฮ อันเป็นที่เคารพรักของชาวเวียดนาม ไกด์หนุ่มชาวเวียดนาม ซึ่งมีเลือดรักชาติแรงมาก เล่าถึงที่มาที่ไปของสุสานและประวัติของลุงโฮของพวกเขาให้ฟังอย่างออกรสชาด โดยไม่ยอมให้พวกเราเบนความสนใจไปทางอื่นเด็ดขาด จะถ่ายรูปหรือเที่ยวชมสถานที่ก็ต้องรอให้เล่าจบก่อน..แบบว่า ทำให้ที่ได้ดีไม่มีที่ติเชียวล่ะ จากนั้นก็พาไปชมวัดเจดีย์เสาร์เดียว ก่อนที่จะไปล่องเรือแจวชมวิวทิวทัศน์ชมบรรยากาศของท้องทุ่งซึ่งสองข้างทางโอบล้อมด้วยภูเขาหินปูน ที่รู้จักกันในนาม ฮาลองบก ชมทิวทัศน์อันงดงามของทุ่งนาข้าว ลำน้ำที่ใสสะอาด บรรยากาศแบบโรแมนติก ล่องเรือลอดถ้ำ... ระหว่างทางที่นั่งรถไปที่แม่น้ำเพื่อล่องเรือนั้น ไกด์หนุ่มบอกเราว่าเป็นสถานที่ที่ amazing มาก..เราก็หันมาเม้าท์กันเป็นภาษาไทยว่า ที่เมืองไทยก็มีเยอะที่บอกว่าamazing แต่พอไปถึงไม่เห็นมีอะไรเลย...หวังว่าคงไม่เป็นอย่างนั้น...

พอได้ไปดื่มด่ำบรรยากาศ อืมม amazing จริงๆ ค่ะ เริ่มตั้งแต่ท่าแจวเรือ "โดยใช้เท้า" ตอนแรก T.GAng คิดว่า คนพิการ ต้องทำมาหากิน(ดราม่ามาเลยทีเดียว) ปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน ทำไมพิการเยอะจัง??? ไม่ใช่ค่ะ แค่เมื่อย เลยใช้เท้าพาย..ทำได้ไง???? amazing สุดๆๆๆๆๆ

กลับมาถึงที่พักประมาณ หกโมงครึ่ง หาอาหารอีกมื้อด้วยคำแนะนำของบริกรโรงแรมคนเดิม ด้วยวิธีการชี้จากโต๊ะข้างๆ เช่นเดิม อันนี้เป็นเฝอไก่.. หลังจากอิ่มหนำสำราญก็รอรถมารับเพื่อไปสถานีรถไฟ คืนนี้เราจะเดินทางไป ซาปาเมืองแห่งขุนเขาและเมฆหมอก... เช้าที่แสนจะหนาวเหน็บที่ซาปา สวยงาม แบบเหนือคำบรรยาย..กลางหุบเขามีทุ่งนาขั้นบันได แทรกไปด้วยกะท่อมเล็กๆ เหมือนในภาพฝัน หมอกขาวปกคลุมเป็นระยะ ..สวรรค์อยู่ตรงหน้านี่เอง...

หลังจากรับประทานอาหารเช้ามื้อแรกที่โรงแรม เรามีนัด trekking อีก 3 กิโลเมตร เดินทางไปยังหมู่บ้านชาวเขา TaVan village และ Cat Cat village โดยมีไกด์ชาวเขารวมถึงชาวเขาที่เดินประกบเราและพร้อมที่จะขายของได้ทุกเมื่อ(อันนี้แล้วแต่ความใจแข็งของท่าน) เหนื่อยแต่ความสวยงามข้างหน้าทำให้เราต้องดั้นด้นไปให้ถึง...น้ำตกคือจุดสิ้นสุดของการ trekking วันนี้ ตามเส้นทางที่ผ่าน มีทั้ง ความงามของทิวทัศน์ วิถีชาวบ้าน บ้างก็กำลังปรับพื้นที่เพื่อทำนาขั้นบันไดที่เรามองดูแล้วยากมาก กว่าจะขุดตักปรับหน้าดินให้ได้ระดับในแนวราบ ซึ่งดินที่ถูกตัดออกก็นำมาใส่ถุงปุ๋ย เพื่อเป็นแนวกันน้ำ อื่ม..เขาทำอย่างนี้นี่เองจึงได้ทุ่งนาขั้นบันไดที่มีประโยชน์และสวยงาม เหนื่อยมาก..จนเดินต่อไม่ไหวแล้ว..ขากลับขออนุญาตนั่งมอไซด์รับจ้าง เพื่ออุดหนุนชาวเขาหน่อยนะ (หลังจากไม่ยอมซื้อของฝากที่เดินตื้อตลอดเส้นทาง) กลับถึงที่พัก รับประทานอาหารเที่ยง..แต่บ่ายนี้เราจะเช่ามอเตอร์ไซด์ไปเที่ยวอีกแล้ว..เอามันส์....

ลัดเลาะรอบเมือง และรอบทะเลสาป..จากนั้นเดินขึ้นไปยังจุดชมวิว เขาฮามรอง ที่สูงมากมองเห็นวิวได้ทั้งเมืองเลยทีเดียว ระหว่างทางเดินขึ้นเขาก็จะผ่านที่จัดสไตล์ยุโรป ดอกไม้เมืองหนาวเต็มไปหมด สวยระรานตา แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยที่สุดกว่าจะปีนถึงยอดเขา...

กลับลงมาฉลองวันเกิดที่โรงแรมด้วยเบียร์ ฮานอย 1 ขวด..แค่นี้ก็หรูแล้วในต่างแดนที่แสนจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันแสนทรหดทั้งวัน..

เช้าวันใหม่ตื่นขึ้นมาหวังจะดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม..แต่เปล่าเลย เมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยหมอกหนาปกคลุม..ซึ่งกำหนดการ trekking วันนี้คือเดินไปหมู่บ้านชาวเขาอีก 12 กิโลเมตร..ไม่ไหวนะคะ ขอเช่ามอเตอร์ไซด์อีกหนึ่งวันก็แล้วกัน...ดูจากสภาพอากาศภายนอก รองเท้าบู๊ท เสื้อกันฝน ผ้าพันคอ หมวก เสื้อกันหนาว ถุงมือ ถุงเท้า...จัดชุดใหญ่เลย พร้อมลุย!!!

หมอกหนามากจนมองแทบไม่เห็นทาง ถ่ายรูปก็ไม่ได้ แต่ก็ดั้นด้นตามเขาไปจนถึงกลางหมู่บ้านชาวเขาแห่งหนึ่ง..ไม่ไหวแล้วค่ะ ถุงมือเปียกหมด หน้าชา ไปก็ไม่ได้เห็นอะไรเพิ่มเติมแน่นอน..คิดได้ดังนั้นจึงหันหัวรถกลับ..มาอะไรกินดีกว่า.. ขับรถเที่ยวในเมือง มองหาร้านอาหารที่น่าสนใจ..ไปเจออีกแล้ว..อาหารเที่ยง เป็นหมูพันผักเสียบไม้ย่าง มีทั้งหมูพันผัก พันเห็น และหมูย่างสไตล์เวียดนาม พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด(ผงชูรส+มะนาว+น้ำปลา) นอกจากนั้นก็มองโต๊ะข้างๆ แล้วชี้ ”เอาแบบนี้” สั่งอาหารเช่นนี้ตลอดทริป...

เย็นนี้เราก็จะเดินทางกลับไปยังฮานอย เพื่อบินกลับประเทศไทยแล้ว สรุปว่าทริปนี้ เราได้ครบรสมาก ทั้ง เครื่องบิน รถยนต์ เรือแจว รถบัส รถเก๋ง รถตู้ รถไฟ มอเตอร์ไซด์ มีเรื่อง มันส์ๆฮาๆ อีกเยอะมาก เดี๋ยวมีเวลาว่างๆ เจอะรายละเอียดในฟังแบบฮาๆ..แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้คิดถึงอาหารไทยที่ซู้ดดดด

15/12/53

รอยยิ้มที่แบ่งปัน..ฝันที่ถูกสานต่อ

รอยยิ้มที่แบ่งปัน..ฝันที่ถูกสานต่อ

เลย..เลย..เที่ยวเมืองเลย..กับสานฝันปันรอยยิ้ม

ทริปนี้มีเนื้อหาและเรื่องราวมากมาย มีทั้งกิจกรรมดีดี ทั้งการเดินทางดีดี ตลอดเส้นทาง..

เรื่องเริ่มต้นตั้งแต่ T.Gang นัดกับน้องในกลุ่มอนุรักษ์เทคโนโคราชมารับที่บ้าน แต่ด้วยความที่ประชากรที่ใจบุญทั้งหลายมากมายก่ายกอง ไม่สามารถที่จะอัดเป็นปลากระป๋องในรถคันนั้นได้ จึงมีการจัดการเกี่ยวกับรถ อยู่หนึ่งวันเต็มๆ ก่อนเดินทาง เปลี่ยนแทบทุกชั่วโมงโยนกันไป โยนกันมา จน T.Gang เกือบจะกลมเป็นลูกฟุตบอล..(น่าสงสารคนไม่มีรถเนาะ!!! ถ้าเห็นในภาพแล้วอืดๆ กลมๆ ก็ของบอกว่าเพิ่งกลมตอนน้องๆ เขาโยนนะคะ ก่อนหน้านี้ผอมเพียว..อิอิอิ)

ท้ายที่สุดสรุปแจ้งข่าวมาว่าให้ไปกับน้อง หนึ่งคนที่บ้านอยู่ไม่ไกลจาก T.GAng มากนัก ....ตายแล้ว!!! ชั้นไม่รู้จัก..ต้องนั่งรถไปด้วยกันอีกตั้งเป็นสิบกว่าชั่วโมงทำไงดี ..เปลี่ยนใจได้มั้ย...แต่ THE SHOW Go On จิตอาสาทั้งนั้น..คิดได้ดังนี้จึงตอบโอเคในบัดดล..

หนึ่งทุ่มน้องมารับที่หน้าบ้านโดยติดต่อกันทางโทรศัพท์ ด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าน้องที่มารับจะเป็นอย่างไรบ้างนะ...มาถึงหน้าบ้าน รถวีโก้สีดำมาจอด พร้อมทั้งมีเด็กหนุ่ม 3 คน..อุ๊ย!! ชั้นต้องเดินทางกับเด็กผู้ชายเต็มรถเลย..ที่สำคัญ..ไม่รู้จักสักคน..แต่คิดในแง่ดี คือจุดประสงค์ที่ทุกคนเดินทางไป คือ “ค่ายอาสา” เพราะฉะนั้น ทุกคน ต้องมีส่วนลึกของจิตใจที่ดีไม่น่ามีพิษภัย..

เริ่มต้นได้สวยงาม น้องๆ ทุกคนเป็นเด็กน่ารักอัธยาศัยดี มีน้ำใจ การเดินทางครั้งนี้จึงเริ่มต้นแบบมีความสุข ยิ่งนั่งรถไปด้วยกันยิ่งรู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิด พวกเราเข้ากันได้ดี ประเภท ”คนบ้ามาเจอกัน” คุยกันไป แวะกันไป จนถึงจุดนัดหมายแรกที่บางนา เพื่อขนของบริจาค แต่ในที่สุดก็รถไม่พออยู่ดี จึงเหมารถหกล้ออีกหนึ่งคัน

เราเริ่มออกเดินทางประมาณตีหนึ่ง ขับไปเรื่อยๆ คุยกับ GPS ไปเรื่อยๆ แบบ ขำๆ ฮาๆ จนไปรุ่งเช้าที่ หล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เราจอดปั้มเกือบจะสุดท้ายของหล่มเก่า เพราะเกรงว่าน้ำมันจะไม่พอ แต่ปั๊มเจ้ากรรมก็ยังไม่เปิด..จอดรถรอถึง 6.30 น. หลังจากได้น้ำมันก็เดินทางต่อ..สองข้างทางเริ่มสวยงาม หมอกยามเช้าเริ่มหนาตาขึ้น เส้นทางคดเคี้ยวน่ากลัว แต่ถนนกว้าง และสวยงาม ..ถ่ายรูปตลอดเส้นทางค่ะ..

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง และร่วมกิจกรรมดีดี ที่หาอ่านได้ใน รอยยิ้มที่แบ่งปัน..ฝันที่ถูกสานต่อ

เรา”สานฝันปันรอยยิ้ม” ที่ โรงเรียนบ้านห้วยน้ำผัก อ.นาแห้ว จ.เลย เป็นเวลาสามวัน ในระหว่างสามวันที่อยู่ในค่าย ความลำบากก็จะมีตรงที่ห้องน้ำไม่เพียงพอแก่จำนวนคน เพราะโรงเรียนมีเด็กและครูรวมกันแล้วเพียงประมาณยี่สิบ..แต่เรา หกสิบกว่าคน โชคดีที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติ ภูสวนทราย และหลังหมู่บ้านยังมีน้ำตก ดังนั้น สมาชิกส่วนใหญ่จึงอาศัยอาบน้ำที่น้ำตก และ ที่ทำการอุทยาน ซึ่งที่นี่เราสามารถโทรศัพท์ได้ด้วย เพราะเป็นจุดเดียวของบริเวณนี้ที่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์

ขากลับท่านอาจารย์ใหญ่มีน้ำใจพาพวกเราเที่ยวชม แหล่งผลิตสินค้าโอท็อป คือ แมคคาเดเมีย ที่มีทั้ง แมคคาเดเมียอบเกลือทุบให้เราชิมแบบ สดๆ ทุบไปชิมไป แมคคาเดเมียช็อกโกแลตซึ่งกำลังหยอดซะน่าทานเชียว นอกจากนี้ยังมีน้ำเสาวรส เลิศรส เพิ่มความสดชื่นให้พวกเราด้วย แต่เสียดายไม่ได้ไปเที่ยวชมไร่สตอบอรี่ ท่านอาจารย์บอกพวกเราว่า คราวที่แล้วมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปชม และสร้างความเสียหายให้ไร่พอสมควร จึงงดการเที่ยวชม มีแต่ท่านนำมาให้พวกเราได้ชิมกันตลอดค่าย..

จากนั้นก็พาเราเที่ยวชมน้ำตก ตาดเหือง ซึ่งสูงชัน เดินลงไปก็ไม่เท่าไร แต่เดินกลับขึ้นมานี่สิ โอ๊ย!!! ลืมตัวนึกว่าตัวเองสิบสี่อีกครั้ง..ป่านนี้ยังไม่หายปวดขาเลย..

ขากลับก็ไม่ลืมแวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวแนวเขตชายแดนไทย-ลาว นอกจากแหล่งท่องเที่ยวแล้วที่นี่ยังมี สถานที่สำคัญคู่บ้าน คือ วัดโพธิ์ชัย ต. นาพึง คุณลุง คนเก่าแก่ในหมู่บ้านเล่าให้พวกเราฟังว่า ที่นี่มีพระพุทธรูปสำคัญศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพของชาวบ้าน คือ พระเจ้าองค์แสน หรือพระพุทธรูปฝนแสนห่าตามประวัติเล่าว่า เสด็จมาจากเมืองเชียงแสนด้วยพระองค์เอง (ลอยมา) มาประดิษฐานอยุ่ที่วัดโพธิ์ชัย โดยมีฆ้องห้อยศอกมา 1 อัน และลูกแก้วเป็นทองสัมฤทธิ์มาด้วย 1 องค์ พร้อมด้วยปืน 1 กระบอก ต่อมาเจ้าเมืองเชียงของทราบข่าวจึงยกขบวนพลช้าง พลม้า เพื่อที่จะอัญเชิญไปเชียงของ แต่ไม่สามารถอัญเชิญไปได้ และเล่ากันต่อมาว่า ถ้าพระพุทธรูปองค์นี้เสด็จไปประดิษฐาน ณ ที่ใด ที่นั้นจะไม่มีการแล้ง จึงได้ชื่อว่าพระพุทธรูปฝนแสนห่า พระพุทธรูปองค์แสน เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก กว้าง 34 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร เนื้อองค์เป็นทองสัมฤทธิ์ พระสังฆาฏิเป็นทองนาค พอถึงฤดูตรุษสงกรานต์ ชาวบ้านจะนำพระพุทธรูปองค์แสนมาสรงน้ำและทำพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงทุกปี โบสถ์และวิหารที่วัดแห่งนี้ก่อสร้างด้วยฝีมือประณีตภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติต่างๆ กรมศิลปากรได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่าทั้งโบสถ์ วิหาร และพระพุทธรูปนั้นมีอายุ 400 ปี

นับเป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีค่ายิ่งของจังหวัดเลย ก่อนกลับเราก็แวะที่พระธาตุศรีสองรัก พอเข้าไปถึงเราต้องแปลกใจ เพราะว่า คนที่จะเข้าไปสักการะองค์พระธาตุได้ จะต้องห้ามใส่เสื้อผ้า สีแดง หรือถือสิ่งของที่มีสีแดงเข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ ถามหาเหตุผลได้ความว่า... ‘พระธาตุศรีสองรัก’ เป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ระหว่างประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งนี้ ‘สีแดง’ อาจเปรียบได้กับ ‘เลือด’ ที่เป็นผลของการทำสงคราม ดังนั้น คนโบราณจึงมีการห้ามไม่ให้ผู้ที่สวมเสื้อผ้าสีแดง เข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบันด้วยเช่นกัน น่าเสียดาย เป็นความบังเอิญว่า สมาชิกทั้งคันรถ สวมเสื้อสีแดง..เลยได้เพียงเดินรอบๆ พระธาตุเท่านั้น...

จากนั้นเราจึงขอตัวแยกย้าย กับเหล่าสมาชิกคนอื่นๆ ซึ่งท่านอาจารย์จะพาไปชมวัดเนรมิต ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับพระธาตุ แต่ขณะนั้นบ่ายสามโมงแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะเดินทางกลับ

การเดินทางสู่ความทรงจำ

ความทรงจำที่อยากรำลึกถึง...จากครั้งแล้วครั้งเล่าที่พลาดจากทริป ”รำลึกความหลังเขาแผงม้า”..ในที่สุดวันนี้ก็มีขึ้นมาจริงๆ จนได้..แม้จะไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น..

กล่าวคือ จาก “รำลึกความหลังเขาแผงม้า” ที่หวังเพียงอยากรวมเพื่อน ที่เคยมีความหลังร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ณ สถานที่เดียวกัน และวันเวลาเดียวกัน แต่ด้วย ภัยธรรมชาติทำให้ต้องเลื่อนระยะเวลาออกไป จาก 22-24 ตค. เป็น 19-21 พย. และแล้วก็มาถึง 27-28 พย. ซึ่งทุกคนบอกว่า อยากรำลึกกิจกรรมที่เราได้เคยทำร่วมกันด้วย..จัดปายยยยย

การเดินทางเริ่มต้นในคืนวันศุกร์ที่ 26 พย. 53 นัดเจอกันที่ หน่วยพิทักษ์ป่า อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ 4คลองปลากั้ง เพื่อนๆ จาก กทม.และสีคิ้ว กลุ่มแรกเดินทางไปถึงช่วงหัวค่ำ และมีรายงานทางโทรศัพท์แจ้งมาอย่างเร่งด่วน “ที่นี่หนามมากกกกก” สิ่งที่ คนเดินทางไปทีหลังต้องทำคือ ค้นกางเกงขาสั้นเสื้อยืดบางๆ ออกจากกระเป๋าให้หมด เปลี่ยนมาเป็นเสื้อตัวหนาๆ กางเกงขายาวถุงเท้า และผ้าห่ม...

ออกเดินทางจากอำเภอศรีราชามุ่งหน้าไปวังน้ำเขียว ด้วยความตื่นเต้น ที่จะได้เจอหน้าเพื่อนๆ หลังจาก 15 ปีผ่านไป...เมื่อเดินทางไปถึงแยกศาลเจ้าพ่อ ที่พวกเราเคย เดินเท้า บนถนนที่ลาดยางเพียง 1 กม. ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในคืนนี้สร้างความประทับใจให้เพื่อนๆ เป็นอย่างมาก..ในขณะที่ T.GAng เป็นผู้บรรยายหลักอย่างเป็นทางการ (เนื่องจากกว่าจะถึงวันนี้มาสำรวจหลายรอบแล้ว)

ชี้ชวนกันชมนกชมไม้ในยามดึก..(ไม่เห็นนกหรอก เห็นแต่เงาไม้กับแสงไฟ..ที่ไม่ใช่แสงดาว) บรรยากกาศของคำว่าผาเหยียบดาวในค่ำคืนของเขาแผงม้า..ไม่มีอีกแล้ว..เหลือแต่สิ่งที่ T.GAng เรียกว่า ผาเหยียบไฟ(ไฟแสงสี)





เดินทางถึงจุดหมายเวลา ตีสอง..แน่นอนที่สุด ตัวป่วนอย่าง T.Gang ต้องปลุกเพื่อนๆ !!!! ตื่นๆๆๆๆๆ.... เพื่อนสาวและเพื่อนหนุ่มซึ่งอดีต ท่านประธานนักศึกษา เทคโนโคราช ออกมาต้อนรับเพื่อนๆ ได้อย่างอบอุ่น..พร้อมกางเต๊นท์ให้ในเวลาตีสอง..น่ารักสุดๆ..



แต่ลูกชายสุดที่รักของเพื่อน เกิดไม่คุ้นเคยกับการนอนเต๊นท์..สรุปคือพวกเราต้องนั่งเฝ้าทั้งคืน..ถือโอกาสนี้ซักถามชีวิตความเป็นมาเป็นไปของแต่ละคน รวมถึงการรอคอย..แบบอ้อล้อ..รอเธอ..สำหรับบุคคลที่กำลังเดินทางมาเป็นกลุ่มต่อไป...


รุ่งเช้าวันหนึ่งแจ่มใส..(แต่เรายังได้นอนกันเลย) วันนี้เรามีนัดกับพี่ตุ๊กตา พี่สาวคนสวยที่จะพาเราลุยป่า ขึ้นเขาตำแยเพื่อกราบปู่อินทร์ ..ต้องรีบล้างหน้าแปรงฟันกันแล้วนะคะเพื่อนๆ ..ส่วน T.Gang ก็เดินเก็บภาพบรรยากาศยามเช้ามาฝาก ชาวโอเคฯ(อิอิอิ)


..เดินไปก็ป่วน ตามเต๊นท์น้องๆ ไป...ได้รับเสียงสรรเสริญแต่เช้าตามสไตล์ “โห!!! พี่..พวกหนูไม่ได้นอนเลย (ด้วยความคิดถึงกันของพี่ๆ นั่งเม้าท์ ข้างเต๊นท์น้อง) ช่วยไม่ได้..ที่กางเต๊นท์มีตั้งเยอะพวกแกมากางตรงนี้เอง..อิอิอิ..พี่ๆ มักถูกเสมอ...

เรานัดเจอกันเพื่อรวมพลกับเพื่อนๆ อีกกลุ่มที่เพิ่งมาถึง ที่ปั๊มน้ำมันเพียว ปักธงชัย (ระหว่างทาง เพื่อนๆ ที่ไปถึงก่อนก็โทรตามตลอดทาง มาสาย..จะไม่ให้สายได้อย่างไร เราคนนำทางถูกส่งตัวมาขึ้นรถเพื่อนเปิ้ล..ซึ่งเพื่อนเปิ้ลขับรถด้วยความระมัดระวังมากกกก 80 กม./ชม.




เมื่อมากันครบก็สตาร์ท...แวะจอดรถไว้ที่บ้านสวนของปู่ เพื่อน เปลี่ยนถ่ายเอารถกระบะและรถจี๊ปน้อยพี่ตุ๊กตา ขึ้นไปเพียงสองคน เนื่องจากหนทางยาวไกล ทุลักทุเล ลำบากมาก แต่เราก็ดั้นด้น..ความโหด มันส์ ฮา..ทั้งเส้นทาง และเพื่อนร่วมทางสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม (สมกับที่รอคอยมาเป็นเวลานาน)
ถึงที่หมาย..เราได้กราบไหว้และได้พูดคุยกับปู่อินทร์ ผู้โด่งดัง แห่งเขาตำแย..และสัมผัสกับธรรมชาติบนเขา ที่น่าตื่นตาตื่นใจ..รับพรและคำแนะนำดีดี จากปู่เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินทางกลับ เพื่อไปรำลึกเขาแผงม้าของเราซะที....


เส้นทางขึ้นเขาเป็นถนนเปลือย เล็ก รถไม่สามารถสวนกันได้..มีรถสวนมาสักคนต้องถอยหาที่เบียดแถวข้างป่า..ชมธรรมชาติ ปากก็ร้องเพลงมาร์ชชมรม..สักพัก...เสียงต้องเงียบลงเนื่องจากล้อรถไม่สามารถหมุนต่อไปได้..รถติดทราย!!!!...ร่วมแรงร่วมใจครับพี่น้อง..เข็น..เข็นอย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ หนุนหินก็แล้ว ขย่มท้ายก็แล้ว..ท้ายที่สุด..โทรตามคนหน้าเพื่อส่งรถไถมาลาก..แต่ก่อนรถไถจะมา..ความสามัคคีและสติปัญญาก็เกิดผล..เราใช้แม่แรงยกล้อ โดยมีท่านประธานโอ๋ ทำหน้าที่ได้ดีเช่นเดิม โกยทราย..และสมาชิกทั้งหลายร่วมแรงร่วมใจคนละไม้ละมือหาก้อนหิน ก้านมะพร้ามเพื่อมารองล้อ...ในที่สุด...เย่ๆๆๆๆๆ..สำเร็จ..ไปต่อได้...

ขับมาอีกระยะก็เจอรถติดหล่ม..แต่โชคดี รถไถคันที่พี่ตุ๊กตาเรียกมาช่วยเรา..ได้ทำหน้าที่ช่วยรถคันหน้าเรียบร้อย แต่เราก็ยังไม่ไว้วางใจถนนบริเวณนั้นอยู่ดี..คิดได้ดังนั้นโชเฟอร์หนุ่มก็เหยียบคันเร่งสุดฝีเท้า..เป็นผลให้คนน่ารักๆ ที่นั่งกระบะท้ายอย่างพวกเราล้มกลิ้งกันไม่เป็นท่า...เสียงร้องแบบ มันส์และฮา กับเส้นทางหฤโหด..ดังไม่ขาดสาย...

กลับลงมาอย่างปลอดภัย..ก็พากันหาอาหารมื้อแรกของวันนั้นในเวลาประมาณบ่ายสองโมง “ปลาเผาเขาสลักได” คือที่ที่ถูกเลือกอีกแล้วครับท่าน..คราวนี้ T.Gang ก็ได้นั่งรถซึ่งเป็นคันนำทางอีกแล้ว ครั้งนี้จิ๊ปน้อยพี่ตุ๊กตา..คนหลังแซงแล้วปาดอีก..ก็ไม่มีประโยชน์..รถนำทาง..ขับได้ 80 กม./ชม. เช่นเดิม..สงสัยดวงเราต้องเอ้อละเหยลอยชาย!!!



แวะชื้ออาหารการกินบริเวณตลาดไทยสามัคคี..จากนั้นก็ รำลึกความหลังเขาแผงม้า..ก่อนจะเดินทางกลับที่พัก ที่ คลองปลากั้ง..และร่วม “ค่ายเด็กรักษ์ป่า” ตามเจตนารมย์ที่สอง” ต่อไป บรรยากาศค่ายติดตามได้ใน รอยยิ้มเด็ก..สู่ป่า..เข้าหาธรรมชาติ


ขากลับสิ่งที่ลืมไม่ได้สำหรับพวกเรา คือการแวะเยือน"สวนลุงโชค" เพื่อไหว้ ลุงโชค เจ้าของสวน ผู้ซึ่งเป็นที่มาแห่งต้นกำเนิด ชมรมอนุรักษ์เทคโนโคราช ของเรา...
ทันทีที่รถจอดกลางลาน มีสาวสวยออกมาต้อนรับด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อเราถามหาลุงโชค เธอบอกว่า เข้าสวนค่ะ รอสักครู่..พวกเราไม่รีรอเลย..บอกน้องสาวคนสวยว่า ตรงไหนจ๊ะไกลมั้ย พี่ไปตามเองได้หรือเปล่า...น้องมองหน้าแบบงงๆ เล็กน้อยก็ชี้มือไปยัง ป่าไผ่ไกลโพ้นด้านใน....
ป่าไผ่ และสวนต้นไม้นานาพรรณ เดินตามทางไปเรื่อย แล้วฉันจะไปตามหาลุงโชคได้ที่ไหนเนี่ย...ว่าเลยตัดสินใจตะโกน...แต่ไม่เป็นผล..
สักครึ่งชั๋วโมงถัดมา น้องขี่จักรยานมาตาม "ลุงโชคมาแล้วค่ะพี่..อ้อมมาจากสวนอีกด้าน รออยู่ที่ศาลา"..
เมื่อพวกเราเข้าไปถึง ถามก่อนเลย "พี่โชคจำหนูได้มัั้ยคะ.." แกทำหน้างง เช่นเดิม.." เราสองคนคือเด็กผู้หญิงเซอร์ๆ ที่ไปป่วน บนแผงม้าสมัยก่อนงัยคะ.."อ๋อ"..แล้วแกก็เริ่มจ้องหน้า..หาความคุ้นเคย...
จากนั้นเราก็พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ถามถึงคนนั้นคนนี้ ที่เคยรู้จักร่วมกัน ลุงโชคมีแง่มุมดีดี ในการดำเนินชีวิต แนะนำพวกเรามากมาย รวมถึงการทำเกษตรแนวใหม่...แต่ก็นั่นแหล่ะนะ เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ..ถึงเวลาที่เราต้องกลับกันแล้ว "โอกาสหน้าเราจะมาพักที่นี่ เพื่อจะมีเวลาคุยเรื่องราวมากมายกับพี่โชคอีก" พร้อมกับมีของที่ระลึกไปมอบให้ลุงโชคด้วย..(ไม่ต้องแปลกใจสำหรับสรรพนามที่เราใช้เรียกคุณ โชคดี ปรโลกานนท์ หรือ พี่โชคของพวกเรา ซึ่งปัจจุบัน กลายเป็นลุงโชคของทุกๆคน ที่เข้าไปเยือนสวนลุงโชค)
อันนี้ของแถมก่อนเดินทางกลับ...