15/12/53

เลย..เลย..เที่ยวเมืองเลย..กับสานฝันปันรอยยิ้ม

ทริปนี้มีเนื้อหาและเรื่องราวมากมาย มีทั้งกิจกรรมดีดี ทั้งการเดินทางดีดี ตลอดเส้นทาง..

เรื่องเริ่มต้นตั้งแต่ T.Gang นัดกับน้องในกลุ่มอนุรักษ์เทคโนโคราชมารับที่บ้าน แต่ด้วยความที่ประชากรที่ใจบุญทั้งหลายมากมายก่ายกอง ไม่สามารถที่จะอัดเป็นปลากระป๋องในรถคันนั้นได้ จึงมีการจัดการเกี่ยวกับรถ อยู่หนึ่งวันเต็มๆ ก่อนเดินทาง เปลี่ยนแทบทุกชั่วโมงโยนกันไป โยนกันมา จน T.Gang เกือบจะกลมเป็นลูกฟุตบอล..(น่าสงสารคนไม่มีรถเนาะ!!! ถ้าเห็นในภาพแล้วอืดๆ กลมๆ ก็ของบอกว่าเพิ่งกลมตอนน้องๆ เขาโยนนะคะ ก่อนหน้านี้ผอมเพียว..อิอิอิ)

ท้ายที่สุดสรุปแจ้งข่าวมาว่าให้ไปกับน้อง หนึ่งคนที่บ้านอยู่ไม่ไกลจาก T.GAng มากนัก ....ตายแล้ว!!! ชั้นไม่รู้จัก..ต้องนั่งรถไปด้วยกันอีกตั้งเป็นสิบกว่าชั่วโมงทำไงดี ..เปลี่ยนใจได้มั้ย...แต่ THE SHOW Go On จิตอาสาทั้งนั้น..คิดได้ดังนี้จึงตอบโอเคในบัดดล..

หนึ่งทุ่มน้องมารับที่หน้าบ้านโดยติดต่อกันทางโทรศัพท์ ด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าน้องที่มารับจะเป็นอย่างไรบ้างนะ...มาถึงหน้าบ้าน รถวีโก้สีดำมาจอด พร้อมทั้งมีเด็กหนุ่ม 3 คน..อุ๊ย!! ชั้นต้องเดินทางกับเด็กผู้ชายเต็มรถเลย..ที่สำคัญ..ไม่รู้จักสักคน..แต่คิดในแง่ดี คือจุดประสงค์ที่ทุกคนเดินทางไป คือ “ค่ายอาสา” เพราะฉะนั้น ทุกคน ต้องมีส่วนลึกของจิตใจที่ดีไม่น่ามีพิษภัย..

เริ่มต้นได้สวยงาม น้องๆ ทุกคนเป็นเด็กน่ารักอัธยาศัยดี มีน้ำใจ การเดินทางครั้งนี้จึงเริ่มต้นแบบมีความสุข ยิ่งนั่งรถไปด้วยกันยิ่งรู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิด พวกเราเข้ากันได้ดี ประเภท ”คนบ้ามาเจอกัน” คุยกันไป แวะกันไป จนถึงจุดนัดหมายแรกที่บางนา เพื่อขนของบริจาค แต่ในที่สุดก็รถไม่พออยู่ดี จึงเหมารถหกล้ออีกหนึ่งคัน

เราเริ่มออกเดินทางประมาณตีหนึ่ง ขับไปเรื่อยๆ คุยกับ GPS ไปเรื่อยๆ แบบ ขำๆ ฮาๆ จนไปรุ่งเช้าที่ หล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เราจอดปั้มเกือบจะสุดท้ายของหล่มเก่า เพราะเกรงว่าน้ำมันจะไม่พอ แต่ปั๊มเจ้ากรรมก็ยังไม่เปิด..จอดรถรอถึง 6.30 น. หลังจากได้น้ำมันก็เดินทางต่อ..สองข้างทางเริ่มสวยงาม หมอกยามเช้าเริ่มหนาตาขึ้น เส้นทางคดเคี้ยวน่ากลัว แต่ถนนกว้าง และสวยงาม ..ถ่ายรูปตลอดเส้นทางค่ะ..

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง และร่วมกิจกรรมดีดี ที่หาอ่านได้ใน รอยยิ้มที่แบ่งปัน..ฝันที่ถูกสานต่อ

เรา”สานฝันปันรอยยิ้ม” ที่ โรงเรียนบ้านห้วยน้ำผัก อ.นาแห้ว จ.เลย เป็นเวลาสามวัน ในระหว่างสามวันที่อยู่ในค่าย ความลำบากก็จะมีตรงที่ห้องน้ำไม่เพียงพอแก่จำนวนคน เพราะโรงเรียนมีเด็กและครูรวมกันแล้วเพียงประมาณยี่สิบ..แต่เรา หกสิบกว่าคน โชคดีที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติ ภูสวนทราย และหลังหมู่บ้านยังมีน้ำตก ดังนั้น สมาชิกส่วนใหญ่จึงอาศัยอาบน้ำที่น้ำตก และ ที่ทำการอุทยาน ซึ่งที่นี่เราสามารถโทรศัพท์ได้ด้วย เพราะเป็นจุดเดียวของบริเวณนี้ที่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์

ขากลับท่านอาจารย์ใหญ่มีน้ำใจพาพวกเราเที่ยวชม แหล่งผลิตสินค้าโอท็อป คือ แมคคาเดเมีย ที่มีทั้ง แมคคาเดเมียอบเกลือทุบให้เราชิมแบบ สดๆ ทุบไปชิมไป แมคคาเดเมียช็อกโกแลตซึ่งกำลังหยอดซะน่าทานเชียว นอกจากนี้ยังมีน้ำเสาวรส เลิศรส เพิ่มความสดชื่นให้พวกเราด้วย แต่เสียดายไม่ได้ไปเที่ยวชมไร่สตอบอรี่ ท่านอาจารย์บอกพวกเราว่า คราวที่แล้วมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปชม และสร้างความเสียหายให้ไร่พอสมควร จึงงดการเที่ยวชม มีแต่ท่านนำมาให้พวกเราได้ชิมกันตลอดค่าย..

จากนั้นก็พาเราเที่ยวชมน้ำตก ตาดเหือง ซึ่งสูงชัน เดินลงไปก็ไม่เท่าไร แต่เดินกลับขึ้นมานี่สิ โอ๊ย!!! ลืมตัวนึกว่าตัวเองสิบสี่อีกครั้ง..ป่านนี้ยังไม่หายปวดขาเลย..

ขากลับก็ไม่ลืมแวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวแนวเขตชายแดนไทย-ลาว นอกจากแหล่งท่องเที่ยวแล้วที่นี่ยังมี สถานที่สำคัญคู่บ้าน คือ วัดโพธิ์ชัย ต. นาพึง คุณลุง คนเก่าแก่ในหมู่บ้านเล่าให้พวกเราฟังว่า ที่นี่มีพระพุทธรูปสำคัญศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพของชาวบ้าน คือ พระเจ้าองค์แสน หรือพระพุทธรูปฝนแสนห่าตามประวัติเล่าว่า เสด็จมาจากเมืองเชียงแสนด้วยพระองค์เอง (ลอยมา) มาประดิษฐานอยุ่ที่วัดโพธิ์ชัย โดยมีฆ้องห้อยศอกมา 1 อัน และลูกแก้วเป็นทองสัมฤทธิ์มาด้วย 1 องค์ พร้อมด้วยปืน 1 กระบอก ต่อมาเจ้าเมืองเชียงของทราบข่าวจึงยกขบวนพลช้าง พลม้า เพื่อที่จะอัญเชิญไปเชียงของ แต่ไม่สามารถอัญเชิญไปได้ และเล่ากันต่อมาว่า ถ้าพระพุทธรูปองค์นี้เสด็จไปประดิษฐาน ณ ที่ใด ที่นั้นจะไม่มีการแล้ง จึงได้ชื่อว่าพระพุทธรูปฝนแสนห่า พระพุทธรูปองค์แสน เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก กว้าง 34 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร เนื้อองค์เป็นทองสัมฤทธิ์ พระสังฆาฏิเป็นทองนาค พอถึงฤดูตรุษสงกรานต์ ชาวบ้านจะนำพระพุทธรูปองค์แสนมาสรงน้ำและทำพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงทุกปี โบสถ์และวิหารที่วัดแห่งนี้ก่อสร้างด้วยฝีมือประณีตภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติต่างๆ กรมศิลปากรได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่าทั้งโบสถ์ วิหาร และพระพุทธรูปนั้นมีอายุ 400 ปี

นับเป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีค่ายิ่งของจังหวัดเลย ก่อนกลับเราก็แวะที่พระธาตุศรีสองรัก พอเข้าไปถึงเราต้องแปลกใจ เพราะว่า คนที่จะเข้าไปสักการะองค์พระธาตุได้ จะต้องห้ามใส่เสื้อผ้า สีแดง หรือถือสิ่งของที่มีสีแดงเข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ ถามหาเหตุผลได้ความว่า... ‘พระธาตุศรีสองรัก’ เป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ระหว่างประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งนี้ ‘สีแดง’ อาจเปรียบได้กับ ‘เลือด’ ที่เป็นผลของการทำสงคราม ดังนั้น คนโบราณจึงมีการห้ามไม่ให้ผู้ที่สวมเสื้อผ้าสีแดง เข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบันด้วยเช่นกัน น่าเสียดาย เป็นความบังเอิญว่า สมาชิกทั้งคันรถ สวมเสื้อสีแดง..เลยได้เพียงเดินรอบๆ พระธาตุเท่านั้น...

จากนั้นเราจึงขอตัวแยกย้าย กับเหล่าสมาชิกคนอื่นๆ ซึ่งท่านอาจารย์จะพาไปชมวัดเนรมิต ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับพระธาตุ แต่ขณะนั้นบ่ายสามโมงแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะเดินทางกลับ

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ24 ธันวาคม 2553 เวลา 10:57

    ขยันเที่ยวจังเลยนะ ทริปหน้า แด่เพื่อนผู้หิวโหย (เหล้า) ที่ตะขบมั่งสิ
    นัทจ้า

    ตอบลบ
  2. เค้าไปทำความดีจ้า..ว่างๆ ก็คลิกดูรายละเอียดที่จ๊ะ...

    http://www.oknation.net/blog/naturegang/2010/12/13/entry-1

    ตอบลบ

อ่านแล้วก้อเม้นท์สร้างสีสรรกันหน่อยสิคะ..อย่าผ่านไปเฉยๆ..คนเขียนก้อเฉาแย่สิ..5555++