15/12/53

รอยยิ้มที่แบ่งปัน..ฝันที่ถูกสานต่อ

รอยยิ้มที่แบ่งปัน..ฝันที่ถูกสานต่อ

เลย..เลย..เที่ยวเมืองเลย..กับสานฝันปันรอยยิ้ม

ทริปนี้มีเนื้อหาและเรื่องราวมากมาย มีทั้งกิจกรรมดีดี ทั้งการเดินทางดีดี ตลอดเส้นทาง..

เรื่องเริ่มต้นตั้งแต่ T.Gang นัดกับน้องในกลุ่มอนุรักษ์เทคโนโคราชมารับที่บ้าน แต่ด้วยความที่ประชากรที่ใจบุญทั้งหลายมากมายก่ายกอง ไม่สามารถที่จะอัดเป็นปลากระป๋องในรถคันนั้นได้ จึงมีการจัดการเกี่ยวกับรถ อยู่หนึ่งวันเต็มๆ ก่อนเดินทาง เปลี่ยนแทบทุกชั่วโมงโยนกันไป โยนกันมา จน T.Gang เกือบจะกลมเป็นลูกฟุตบอล..(น่าสงสารคนไม่มีรถเนาะ!!! ถ้าเห็นในภาพแล้วอืดๆ กลมๆ ก็ของบอกว่าเพิ่งกลมตอนน้องๆ เขาโยนนะคะ ก่อนหน้านี้ผอมเพียว..อิอิอิ)

ท้ายที่สุดสรุปแจ้งข่าวมาว่าให้ไปกับน้อง หนึ่งคนที่บ้านอยู่ไม่ไกลจาก T.GAng มากนัก ....ตายแล้ว!!! ชั้นไม่รู้จัก..ต้องนั่งรถไปด้วยกันอีกตั้งเป็นสิบกว่าชั่วโมงทำไงดี ..เปลี่ยนใจได้มั้ย...แต่ THE SHOW Go On จิตอาสาทั้งนั้น..คิดได้ดังนี้จึงตอบโอเคในบัดดล..

หนึ่งทุ่มน้องมารับที่หน้าบ้านโดยติดต่อกันทางโทรศัพท์ ด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าน้องที่มารับจะเป็นอย่างไรบ้างนะ...มาถึงหน้าบ้าน รถวีโก้สีดำมาจอด พร้อมทั้งมีเด็กหนุ่ม 3 คน..อุ๊ย!! ชั้นต้องเดินทางกับเด็กผู้ชายเต็มรถเลย..ที่สำคัญ..ไม่รู้จักสักคน..แต่คิดในแง่ดี คือจุดประสงค์ที่ทุกคนเดินทางไป คือ “ค่ายอาสา” เพราะฉะนั้น ทุกคน ต้องมีส่วนลึกของจิตใจที่ดีไม่น่ามีพิษภัย..

เริ่มต้นได้สวยงาม น้องๆ ทุกคนเป็นเด็กน่ารักอัธยาศัยดี มีน้ำใจ การเดินทางครั้งนี้จึงเริ่มต้นแบบมีความสุข ยิ่งนั่งรถไปด้วยกันยิ่งรู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิด พวกเราเข้ากันได้ดี ประเภท ”คนบ้ามาเจอกัน” คุยกันไป แวะกันไป จนถึงจุดนัดหมายแรกที่บางนา เพื่อขนของบริจาค แต่ในที่สุดก็รถไม่พออยู่ดี จึงเหมารถหกล้ออีกหนึ่งคัน

เราเริ่มออกเดินทางประมาณตีหนึ่ง ขับไปเรื่อยๆ คุยกับ GPS ไปเรื่อยๆ แบบ ขำๆ ฮาๆ จนไปรุ่งเช้าที่ หล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เราจอดปั้มเกือบจะสุดท้ายของหล่มเก่า เพราะเกรงว่าน้ำมันจะไม่พอ แต่ปั๊มเจ้ากรรมก็ยังไม่เปิด..จอดรถรอถึง 6.30 น. หลังจากได้น้ำมันก็เดินทางต่อ..สองข้างทางเริ่มสวยงาม หมอกยามเช้าเริ่มหนาตาขึ้น เส้นทางคดเคี้ยวน่ากลัว แต่ถนนกว้าง และสวยงาม ..ถ่ายรูปตลอดเส้นทางค่ะ..

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง และร่วมกิจกรรมดีดี ที่หาอ่านได้ใน รอยยิ้มที่แบ่งปัน..ฝันที่ถูกสานต่อ

เรา”สานฝันปันรอยยิ้ม” ที่ โรงเรียนบ้านห้วยน้ำผัก อ.นาแห้ว จ.เลย เป็นเวลาสามวัน ในระหว่างสามวันที่อยู่ในค่าย ความลำบากก็จะมีตรงที่ห้องน้ำไม่เพียงพอแก่จำนวนคน เพราะโรงเรียนมีเด็กและครูรวมกันแล้วเพียงประมาณยี่สิบ..แต่เรา หกสิบกว่าคน โชคดีที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติ ภูสวนทราย และหลังหมู่บ้านยังมีน้ำตก ดังนั้น สมาชิกส่วนใหญ่จึงอาศัยอาบน้ำที่น้ำตก และ ที่ทำการอุทยาน ซึ่งที่นี่เราสามารถโทรศัพท์ได้ด้วย เพราะเป็นจุดเดียวของบริเวณนี้ที่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์

ขากลับท่านอาจารย์ใหญ่มีน้ำใจพาพวกเราเที่ยวชม แหล่งผลิตสินค้าโอท็อป คือ แมคคาเดเมีย ที่มีทั้ง แมคคาเดเมียอบเกลือทุบให้เราชิมแบบ สดๆ ทุบไปชิมไป แมคคาเดเมียช็อกโกแลตซึ่งกำลังหยอดซะน่าทานเชียว นอกจากนี้ยังมีน้ำเสาวรส เลิศรส เพิ่มความสดชื่นให้พวกเราด้วย แต่เสียดายไม่ได้ไปเที่ยวชมไร่สตอบอรี่ ท่านอาจารย์บอกพวกเราว่า คราวที่แล้วมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปชม และสร้างความเสียหายให้ไร่พอสมควร จึงงดการเที่ยวชม มีแต่ท่านนำมาให้พวกเราได้ชิมกันตลอดค่าย..

จากนั้นก็พาเราเที่ยวชมน้ำตก ตาดเหือง ซึ่งสูงชัน เดินลงไปก็ไม่เท่าไร แต่เดินกลับขึ้นมานี่สิ โอ๊ย!!! ลืมตัวนึกว่าตัวเองสิบสี่อีกครั้ง..ป่านนี้ยังไม่หายปวดขาเลย..

ขากลับก็ไม่ลืมแวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวแนวเขตชายแดนไทย-ลาว นอกจากแหล่งท่องเที่ยวแล้วที่นี่ยังมี สถานที่สำคัญคู่บ้าน คือ วัดโพธิ์ชัย ต. นาพึง คุณลุง คนเก่าแก่ในหมู่บ้านเล่าให้พวกเราฟังว่า ที่นี่มีพระพุทธรูปสำคัญศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพของชาวบ้าน คือ พระเจ้าองค์แสน หรือพระพุทธรูปฝนแสนห่าตามประวัติเล่าว่า เสด็จมาจากเมืองเชียงแสนด้วยพระองค์เอง (ลอยมา) มาประดิษฐานอยุ่ที่วัดโพธิ์ชัย โดยมีฆ้องห้อยศอกมา 1 อัน และลูกแก้วเป็นทองสัมฤทธิ์มาด้วย 1 องค์ พร้อมด้วยปืน 1 กระบอก ต่อมาเจ้าเมืองเชียงของทราบข่าวจึงยกขบวนพลช้าง พลม้า เพื่อที่จะอัญเชิญไปเชียงของ แต่ไม่สามารถอัญเชิญไปได้ และเล่ากันต่อมาว่า ถ้าพระพุทธรูปองค์นี้เสด็จไปประดิษฐาน ณ ที่ใด ที่นั้นจะไม่มีการแล้ง จึงได้ชื่อว่าพระพุทธรูปฝนแสนห่า พระพุทธรูปองค์แสน เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก กว้าง 34 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร เนื้อองค์เป็นทองสัมฤทธิ์ พระสังฆาฏิเป็นทองนาค พอถึงฤดูตรุษสงกรานต์ ชาวบ้านจะนำพระพุทธรูปองค์แสนมาสรงน้ำและทำพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงทุกปี โบสถ์และวิหารที่วัดแห่งนี้ก่อสร้างด้วยฝีมือประณีตภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติต่างๆ กรมศิลปากรได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่าทั้งโบสถ์ วิหาร และพระพุทธรูปนั้นมีอายุ 400 ปี

นับเป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีค่ายิ่งของจังหวัดเลย ก่อนกลับเราก็แวะที่พระธาตุศรีสองรัก พอเข้าไปถึงเราต้องแปลกใจ เพราะว่า คนที่จะเข้าไปสักการะองค์พระธาตุได้ จะต้องห้ามใส่เสื้อผ้า สีแดง หรือถือสิ่งของที่มีสีแดงเข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ ถามหาเหตุผลได้ความว่า... ‘พระธาตุศรีสองรัก’ เป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ระหว่างประเทศไทย และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งนี้ ‘สีแดง’ อาจเปรียบได้กับ ‘เลือด’ ที่เป็นผลของการทำสงคราม ดังนั้น คนโบราณจึงมีการห้ามไม่ให้ผู้ที่สวมเสื้อผ้าสีแดง เข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบันด้วยเช่นกัน น่าเสียดาย เป็นความบังเอิญว่า สมาชิกทั้งคันรถ สวมเสื้อสีแดง..เลยได้เพียงเดินรอบๆ พระธาตุเท่านั้น...

จากนั้นเราจึงขอตัวแยกย้าย กับเหล่าสมาชิกคนอื่นๆ ซึ่งท่านอาจารย์จะพาไปชมวัดเนรมิต ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับพระธาตุ แต่ขณะนั้นบ่ายสามโมงแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะเดินทางกลับ

การเดินทางสู่ความทรงจำ

ความทรงจำที่อยากรำลึกถึง...จากครั้งแล้วครั้งเล่าที่พลาดจากทริป ”รำลึกความหลังเขาแผงม้า”..ในที่สุดวันนี้ก็มีขึ้นมาจริงๆ จนได้..แม้จะไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น..

กล่าวคือ จาก “รำลึกความหลังเขาแผงม้า” ที่หวังเพียงอยากรวมเพื่อน ที่เคยมีความหลังร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ณ สถานที่เดียวกัน และวันเวลาเดียวกัน แต่ด้วย ภัยธรรมชาติทำให้ต้องเลื่อนระยะเวลาออกไป จาก 22-24 ตค. เป็น 19-21 พย. และแล้วก็มาถึง 27-28 พย. ซึ่งทุกคนบอกว่า อยากรำลึกกิจกรรมที่เราได้เคยทำร่วมกันด้วย..จัดปายยยยย

การเดินทางเริ่มต้นในคืนวันศุกร์ที่ 26 พย. 53 นัดเจอกันที่ หน่วยพิทักษ์ป่า อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ 4คลองปลากั้ง เพื่อนๆ จาก กทม.และสีคิ้ว กลุ่มแรกเดินทางไปถึงช่วงหัวค่ำ และมีรายงานทางโทรศัพท์แจ้งมาอย่างเร่งด่วน “ที่นี่หนามมากกกกก” สิ่งที่ คนเดินทางไปทีหลังต้องทำคือ ค้นกางเกงขาสั้นเสื้อยืดบางๆ ออกจากกระเป๋าให้หมด เปลี่ยนมาเป็นเสื้อตัวหนาๆ กางเกงขายาวถุงเท้า และผ้าห่ม...

ออกเดินทางจากอำเภอศรีราชามุ่งหน้าไปวังน้ำเขียว ด้วยความตื่นเต้น ที่จะได้เจอหน้าเพื่อนๆ หลังจาก 15 ปีผ่านไป...เมื่อเดินทางไปถึงแยกศาลเจ้าพ่อ ที่พวกเราเคย เดินเท้า บนถนนที่ลาดยางเพียง 1 กม. ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในคืนนี้สร้างความประทับใจให้เพื่อนๆ เป็นอย่างมาก..ในขณะที่ T.GAng เป็นผู้บรรยายหลักอย่างเป็นทางการ (เนื่องจากกว่าจะถึงวันนี้มาสำรวจหลายรอบแล้ว)

ชี้ชวนกันชมนกชมไม้ในยามดึก..(ไม่เห็นนกหรอก เห็นแต่เงาไม้กับแสงไฟ..ที่ไม่ใช่แสงดาว) บรรยากกาศของคำว่าผาเหยียบดาวในค่ำคืนของเขาแผงม้า..ไม่มีอีกแล้ว..เหลือแต่สิ่งที่ T.GAng เรียกว่า ผาเหยียบไฟ(ไฟแสงสี)





เดินทางถึงจุดหมายเวลา ตีสอง..แน่นอนที่สุด ตัวป่วนอย่าง T.Gang ต้องปลุกเพื่อนๆ !!!! ตื่นๆๆๆๆๆ.... เพื่อนสาวและเพื่อนหนุ่มซึ่งอดีต ท่านประธานนักศึกษา เทคโนโคราช ออกมาต้อนรับเพื่อนๆ ได้อย่างอบอุ่น..พร้อมกางเต๊นท์ให้ในเวลาตีสอง..น่ารักสุดๆ..



แต่ลูกชายสุดที่รักของเพื่อน เกิดไม่คุ้นเคยกับการนอนเต๊นท์..สรุปคือพวกเราต้องนั่งเฝ้าทั้งคืน..ถือโอกาสนี้ซักถามชีวิตความเป็นมาเป็นไปของแต่ละคน รวมถึงการรอคอย..แบบอ้อล้อ..รอเธอ..สำหรับบุคคลที่กำลังเดินทางมาเป็นกลุ่มต่อไป...


รุ่งเช้าวันหนึ่งแจ่มใส..(แต่เรายังได้นอนกันเลย) วันนี้เรามีนัดกับพี่ตุ๊กตา พี่สาวคนสวยที่จะพาเราลุยป่า ขึ้นเขาตำแยเพื่อกราบปู่อินทร์ ..ต้องรีบล้างหน้าแปรงฟันกันแล้วนะคะเพื่อนๆ ..ส่วน T.Gang ก็เดินเก็บภาพบรรยากาศยามเช้ามาฝาก ชาวโอเคฯ(อิอิอิ)


..เดินไปก็ป่วน ตามเต๊นท์น้องๆ ไป...ได้รับเสียงสรรเสริญแต่เช้าตามสไตล์ “โห!!! พี่..พวกหนูไม่ได้นอนเลย (ด้วยความคิดถึงกันของพี่ๆ นั่งเม้าท์ ข้างเต๊นท์น้อง) ช่วยไม่ได้..ที่กางเต๊นท์มีตั้งเยอะพวกแกมากางตรงนี้เอง..อิอิอิ..พี่ๆ มักถูกเสมอ...

เรานัดเจอกันเพื่อรวมพลกับเพื่อนๆ อีกกลุ่มที่เพิ่งมาถึง ที่ปั๊มน้ำมันเพียว ปักธงชัย (ระหว่างทาง เพื่อนๆ ที่ไปถึงก่อนก็โทรตามตลอดทาง มาสาย..จะไม่ให้สายได้อย่างไร เราคนนำทางถูกส่งตัวมาขึ้นรถเพื่อนเปิ้ล..ซึ่งเพื่อนเปิ้ลขับรถด้วยความระมัดระวังมากกกก 80 กม./ชม.




เมื่อมากันครบก็สตาร์ท...แวะจอดรถไว้ที่บ้านสวนของปู่ เพื่อน เปลี่ยนถ่ายเอารถกระบะและรถจี๊ปน้อยพี่ตุ๊กตา ขึ้นไปเพียงสองคน เนื่องจากหนทางยาวไกล ทุลักทุเล ลำบากมาก แต่เราก็ดั้นด้น..ความโหด มันส์ ฮา..ทั้งเส้นทาง และเพื่อนร่วมทางสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม (สมกับที่รอคอยมาเป็นเวลานาน)
ถึงที่หมาย..เราได้กราบไหว้และได้พูดคุยกับปู่อินทร์ ผู้โด่งดัง แห่งเขาตำแย..และสัมผัสกับธรรมชาติบนเขา ที่น่าตื่นตาตื่นใจ..รับพรและคำแนะนำดีดี จากปู่เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินทางกลับ เพื่อไปรำลึกเขาแผงม้าของเราซะที....


เส้นทางขึ้นเขาเป็นถนนเปลือย เล็ก รถไม่สามารถสวนกันได้..มีรถสวนมาสักคนต้องถอยหาที่เบียดแถวข้างป่า..ชมธรรมชาติ ปากก็ร้องเพลงมาร์ชชมรม..สักพัก...เสียงต้องเงียบลงเนื่องจากล้อรถไม่สามารถหมุนต่อไปได้..รถติดทราย!!!!...ร่วมแรงร่วมใจครับพี่น้อง..เข็น..เข็นอย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ หนุนหินก็แล้ว ขย่มท้ายก็แล้ว..ท้ายที่สุด..โทรตามคนหน้าเพื่อส่งรถไถมาลาก..แต่ก่อนรถไถจะมา..ความสามัคคีและสติปัญญาก็เกิดผล..เราใช้แม่แรงยกล้อ โดยมีท่านประธานโอ๋ ทำหน้าที่ได้ดีเช่นเดิม โกยทราย..และสมาชิกทั้งหลายร่วมแรงร่วมใจคนละไม้ละมือหาก้อนหิน ก้านมะพร้ามเพื่อมารองล้อ...ในที่สุด...เย่ๆๆๆๆๆ..สำเร็จ..ไปต่อได้...

ขับมาอีกระยะก็เจอรถติดหล่ม..แต่โชคดี รถไถคันที่พี่ตุ๊กตาเรียกมาช่วยเรา..ได้ทำหน้าที่ช่วยรถคันหน้าเรียบร้อย แต่เราก็ยังไม่ไว้วางใจถนนบริเวณนั้นอยู่ดี..คิดได้ดังนั้นโชเฟอร์หนุ่มก็เหยียบคันเร่งสุดฝีเท้า..เป็นผลให้คนน่ารักๆ ที่นั่งกระบะท้ายอย่างพวกเราล้มกลิ้งกันไม่เป็นท่า...เสียงร้องแบบ มันส์และฮา กับเส้นทางหฤโหด..ดังไม่ขาดสาย...

กลับลงมาอย่างปลอดภัย..ก็พากันหาอาหารมื้อแรกของวันนั้นในเวลาประมาณบ่ายสองโมง “ปลาเผาเขาสลักได” คือที่ที่ถูกเลือกอีกแล้วครับท่าน..คราวนี้ T.Gang ก็ได้นั่งรถซึ่งเป็นคันนำทางอีกแล้ว ครั้งนี้จิ๊ปน้อยพี่ตุ๊กตา..คนหลังแซงแล้วปาดอีก..ก็ไม่มีประโยชน์..รถนำทาง..ขับได้ 80 กม./ชม. เช่นเดิม..สงสัยดวงเราต้องเอ้อละเหยลอยชาย!!!



แวะชื้ออาหารการกินบริเวณตลาดไทยสามัคคี..จากนั้นก็ รำลึกความหลังเขาแผงม้า..ก่อนจะเดินทางกลับที่พัก ที่ คลองปลากั้ง..และร่วม “ค่ายเด็กรักษ์ป่า” ตามเจตนารมย์ที่สอง” ต่อไป บรรยากาศค่ายติดตามได้ใน รอยยิ้มเด็ก..สู่ป่า..เข้าหาธรรมชาติ


ขากลับสิ่งที่ลืมไม่ได้สำหรับพวกเรา คือการแวะเยือน"สวนลุงโชค" เพื่อไหว้ ลุงโชค เจ้าของสวน ผู้ซึ่งเป็นที่มาแห่งต้นกำเนิด ชมรมอนุรักษ์เทคโนโคราช ของเรา...
ทันทีที่รถจอดกลางลาน มีสาวสวยออกมาต้อนรับด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อเราถามหาลุงโชค เธอบอกว่า เข้าสวนค่ะ รอสักครู่..พวกเราไม่รีรอเลย..บอกน้องสาวคนสวยว่า ตรงไหนจ๊ะไกลมั้ย พี่ไปตามเองได้หรือเปล่า...น้องมองหน้าแบบงงๆ เล็กน้อยก็ชี้มือไปยัง ป่าไผ่ไกลโพ้นด้านใน....
ป่าไผ่ และสวนต้นไม้นานาพรรณ เดินตามทางไปเรื่อย แล้วฉันจะไปตามหาลุงโชคได้ที่ไหนเนี่ย...ว่าเลยตัดสินใจตะโกน...แต่ไม่เป็นผล..
สักครึ่งชั๋วโมงถัดมา น้องขี่จักรยานมาตาม "ลุงโชคมาแล้วค่ะพี่..อ้อมมาจากสวนอีกด้าน รออยู่ที่ศาลา"..
เมื่อพวกเราเข้าไปถึง ถามก่อนเลย "พี่โชคจำหนูได้มัั้ยคะ.." แกทำหน้างง เช่นเดิม.." เราสองคนคือเด็กผู้หญิงเซอร์ๆ ที่ไปป่วน บนแผงม้าสมัยก่อนงัยคะ.."อ๋อ"..แล้วแกก็เริ่มจ้องหน้า..หาความคุ้นเคย...
จากนั้นเราก็พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ถามถึงคนนั้นคนนี้ ที่เคยรู้จักร่วมกัน ลุงโชคมีแง่มุมดีดี ในการดำเนินชีวิต แนะนำพวกเรามากมาย รวมถึงการทำเกษตรแนวใหม่...แต่ก็นั่นแหล่ะนะ เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ..ถึงเวลาที่เราต้องกลับกันแล้ว "โอกาสหน้าเราจะมาพักที่นี่ เพื่อจะมีเวลาคุยเรื่องราวมากมายกับพี่โชคอีก" พร้อมกับมีของที่ระลึกไปมอบให้ลุงโชคด้วย..(ไม่ต้องแปลกใจสำหรับสรรพนามที่เราใช้เรียกคุณ โชคดี ปรโลกานนท์ หรือ พี่โชคของพวกเรา ซึ่งปัจจุบัน กลายเป็นลุงโชคของทุกๆคน ที่เข้าไปเยือนสวนลุงโชค)
อันนี้ของแถมก่อนเดินทางกลับ...

หาดลับแล

ล่มครั้งแล้วครั้งเล่ากับทริปเขาแผงม้า..สุดสัปห์ที่ผ่านมาเราเลยเปลี่ยน มาเที่ยวทะเลกันซะเลย..

หาดลับแล..เป็นสถานที่พักตากอากาศที่สวยงาม เงียบสงบ..ที่จริงหาดนี้มีชื่อจริง นามสกุลจริงค่ะ.....แต่ T.Gang ขอเรียกอย่างสร้างสรรค์ น่ารักมิกล้าเอ่ยนาม เนื่องจากว่าหาดแห่งนี้ เป็นสถานที่ ซึ่งอยู่ในส่วนที่เป็นส่วนบุคคล และไม่อนุญาต ให้ถ่ายรูป..(แบบว่าเราแอบถ่ายของเค้ามาฝาก จึงมีจรรยาบรรณไม่สามารถเอ่ยนามได้....ขอให้ทุกท่านแค่ชื่นชมความงามนะคะ..ใครอยากรู้จริงๆ ก็หลังไมค์ค่ะ...

เราจองที่พักได้เพียงคืนเดียว กว่าจะไปถึงก็ดึก..ดังนั้นเราจึงมีเวลาสำหรับ (แอบ)เก็บภาพได้นิดหน่อย จากระเบียงที่พัก ขอบคุณกล้องคู่ใจที่ซูมได้บ้างเล็กน้อย ทำให้เราได้ภาพที่สวยงามของอาทิตย์ยามเช้ามาฝากเพื่อนๆ...

ที่นี่หาดทรายสวยงาม น้ำใส สะอาด ปลาน้อยใหญ่มากมาย คันเบ็ดที่เตรียมไปด้วยก็ใช้การได้ไม่เต็มที่เนื่องจากลืมนึกถึงเหยื่อสำหรับตกปลาทะเล..ทำให้เย็นนั้นได้ปลาทะเลจากตลาด..กลับมาทำอาหารกันที่บ้านด้วยบรรยากาศอบอุ่น กับพ่อครัวใหญ่ แม่ครัวเล็ก...ตบท้ายด้วยลอยกระทงริมเลค(พูดซะหรูเชียว) หน้าหมู่บ้าน อิอิอิ..ตายน้ำตื้น..

แต่ถึงจะตายน้ำตื้น ทริปนี้เราก็เก็บรายละเอียดกันเยอะมากเลยค่ะ เราเดินทางออกจากหาดลับแล มุ่งตรงไปยัง ท่าเรือเกาะขามเพื่อไปไหว้ องค์พ่อตากสิน ที่ชายเขาทางขึ้น พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติฯ หลังจากไหว้ขอพรกันเสร็จ ก็แวะเก็บบรรยากาศที่ริมหาดน้ำหนาว..ท้ายที่สุด เราก็จบวันเวลา ที่ริมหาด ธาราภิรมย์ ก่อนจะมุ่งตรงไปตลาดเพื่อตกปลาทะเล เป็นอาหารเย็น!!!!!